รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อกของฉัน

รายการบล็อกของฉัน

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เต้นลีลาสซ จังหวะคิวบัน รุมบ้า



างสาวขวัญชนก ลี้ยุทธานนท์ ม.6/7 เลขที่ 1
นางสาวณิชา วณิชย์วรนันต์ ม.6/7 เลขที่ 2
นางสาวสุพิชญา หวังผลพัฒนศิริ ม.6/7 เลขที่ 7
นางสาวอรณิชา ตระการกูล ม.6/7 เลขที่ 8 
นายฉัตรเพชร พรประสิทธิ์ ม.6/7 เลขที่ 11
นายพิชยุตม์ พรรณภัทราพงษ์ ม.6/7 เลขที่ 17





เต้นลีลาส
จังหวะคิวบัน รุมบ้า

          จังหวะคิวบัน รุมบ้า เป็นจังหวะที่จัดอยู่ในประเภทลาติน  อเมริกัน กำเนิดขึ้นในชนชาติหมู่เกาะคิวบา จังหวะนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่แพร่ออกสู่โลกลีลาศหลังแทงโก้ (Tango) และวอลทซ์ (Waltz) ปัจจุบันนี้จังหวะรุมบ้า (Rumba) เป็นที่รู้จักกับคนทั่วโลกมาเป็นเวลานานแล้ว    ลักษณะการลีลาศจังหวะรุมบ้าเป็นการลีลาศคล้ายๆ จังหวะวอลทซ์ แต่จังหวะค่อนข้างเร็วกว่า การก้าวเท้าก็สั้นกว่า และนอกจากนี้รุมบ้ายังต้องใช้สะโพกเคลื่อนไหวให้สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของเท้าด้วย
          ความเป็นมาของจังวะคิวบันรุมบ้า
          จังหวะคิวบันรัมบ้าได้นำเข้ามาสู่ประเทศอเมริกาโดยทาสชาวอัฟริกันตั้งแต่เมื่อราว ค.ศ. 1928-
1929 การก้าวเท้าและรูปแบบการเต้นของจังหวะนี้ยังไม่ชัดเจนเลยที่เดียวคนส่วนใหญ่ทึกทักเอาการ
เต้นของจังหวะนี้เป็นการเต้นรูปแบบใหม่ของจังหวะ ฟอกซ์ทรอท ด้วยการเพิ่มการใช้สะโพกลงไป
จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จังหวะคิวบันรัมบ้าจึงได้รับการพัฒนาต่อไปให้เป็น โดย Monsieur
Pierre และ Doris Lavell นักลีลาศชาวอังกฤษ ซึ่งมีโรงเรียนสอนอยู่ที่ถนน Regent ในมหานคร
ลอนดอน แต่ก็ยังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร จนกระทั่งWalter Lird เริ่มเขียนตำราการลีลาศของจังหวะ
ลาตินขึ้นผลงานของเขาได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากจากหลายองค์กรของการลีลาศ
ลีลาการเต้นจะเน้นความสำคัญอยู่ที่ลำตัว  การเคลื่อนไหวร่างกาย  นุ่มนวล  อ่อนช้อย  สวยงาม  การก้าวเท้าทุกก้าวจะเน้นการถ่ายน้ำหนักตัวจึงดูคล้ายกับมีการเคลื่อนไหวของสะโพก  ขณะเดียวกันเข่าข้างที่มีการเคลื่อนไหวจะตึง  การเคลื่อนไหวควรให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ดนตรีของจังหวะคิวบัน รุมบ้า  เป็นแบบ  4/4  คือมี  4  จังหวะใน  1  ห้องเพลง  การนับจังหวะ 2,3,4-1 ต่อเนื่องกันไป ดนตรีของจังหวะนี้บรรเลงด้วยความเร็ว  27-32  ห้องเพลงต่อนาที

การก้าวเท้าในจังหวะคิวบัน รุมบ้า  ไม่ว่าจะเป็นการก้าวเท้าไปข้างหน้าหรือถอยหลังก็ตามจะต้องให้ฝ่าเท้าแตะพื้นก่อนเสมอแล้วจึงราบลงเต็มเท้า  เข่าจะงอขณะที่ก้าวเท้าและตึงเมื่อรับน้ำหนักตัวเต็มที่แล้ว  ดังนั้นตลอดเวลาการเต้นจังหวัดนี้เข่าจะงอข้างหนุ่งและตึงข้างหนุ่งสลับกันไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวสะโพกอย่างสัมพันธ์กัน
การจับคู่เต้นรำในจังหวะคิวบัน รุมบ้า  เป็นการจับคู่แบบลาตินอเมริกันโดยทั่วไปคือ แบบปิด  (มือขวาของชายวางบริเวณสะบักของผู้หญิง)

ลวดลายการเต้นรำจังหวะคิวบัน รุมบ้า  จะคล้ายและมีชื่อเดียวกับลวดลายของจังหวะชา ชา ช่า  จะต่างกันก็ตรงที่จำนวนการก้าวเท้าของคิวบัน รุมบ้า น้อยกว่า ชา ชา ช่า ลวดลายของจังหวะ   คิวบัน รุมบ้า ที่เป็นลวดลายพื้นฐานและนิยมเต้นกันโดยทั่วไปได้แก่

                1.  เบสิค มูฟเม้นท์ (Basic Movement)

                2.  แฟน (Fan)

                3.  ฮอกกี้ สติ๊ก (Hocky Stic)

                4.  โอเพ่น ฮิพ ทวิสต์ (Open Hip Twist)

                5.  อเลมานา (Alemana)

                6.  แฮนด์ ทู แฮนด์ (Hand To Hand)

                7.  สปอท เทิร์น (Spot Turn)

                8.  แนชเชอรัล ทอป (Natural Top)

                9.  โอเพนนิ่ง เอ๊าท์ (Opening Out)

10.      สไปรัล (Spiral)







วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แนวทางการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งในเรื่องเพศ

แนวทางการป้องกันและแก้ไขความขัดแย้งในเรื่องเพศ


1.            ทักษะการเข้าใจผู้อื่น
พยายามเข้าใจ และยอมรับความแตกต่างของเพศตรงข้าม เนื่องจากเพศชายและหญิงมีธรรมชาติที่แตกต่างกัน ถูกเลี้ยงดุมาในกรอบที่แตกต่างกัน เมื่อต้องมาอยู่ร่วมกัน ย่อมมีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา

2.            ทักษะการตระหนักรู้ในตน
สำหรับประเด็นเรื่องเพศสัมพันธ์นั้น วัยรุ่นควรตระหนักว่าเราอยู่ในสังคมไทย ดังนั้นจึงปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบจารีตประเพณีของสังคมไทย ทำความเข้าใจ รู้เท่าทันค่านิยม และวัฒนธรรมต่างชาติที่ไม่เข้ากับลักษณะสังคมไทย

3.            ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
วัยรุ่นควรคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผล และเปิดใจให้กว้าง ปรับเปลี่ยนทัศนคติบางประการที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้ เช่น ผู้ชายมีสิทธิ์ในตัวผู้หญิงการมีเพศสัมพันธ์ในวันเรียนเป็นเรื่องที่แสดงความเก่งของตนความรักคือการยอมให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย เป็นต้น

4.            ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล
ในการสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับผู้อื่นให้ยั่งยืน เราควรมีความรักและความปรารถนาดีให้แก่กันเสมอ เนื่องจากความรักและความปรารถนาดีนั้น ย่อมส่งผลให้เราแสดงออกแก่กันในทางที่ดี และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดพลั้งหรือไม่สามารถทำได้อย่างที่คาดหวัง ก็ควรให้อภัยแก่กันและกัน

5.            ทักษะการแก้ไขปัญหา
หากเกิดความขัดแย้งขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยให้ความขัดแย้งนั้นดำรงอยู่นาน หรือปล่อยเลยตามเลย และหวังให้เวลาเยียวยาความขัดแย้ง แต่ควรจะหันหน้าเข้าหากัน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา

6.            ทักษะการจัดการกับอารมณ์
ต้องรู้จักปล่อยวางหากเพศตรงข้ามเราต้องติดต่อสัมพันธ์ด้วยมีพฤติกรรม หรืออุปนิสัยที่เราไม่สามารถยอมรับได้ ก็พยายามมองข้ามและปล่อยวาง ไม่ควรเก็บเอาอุปนิสัยหรือพฤติกรรมนั้นมาเป็นสาเหตุของความไม่พอใจซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งได้

7.            ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
หันหน้าเข้าหากัน และพยายามพูดคุยกันโดยใช้เหตุผล พยายามหาสาเหตุของความขัดแย้งนั้นว่าเกิดจากอะไร มีความเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ พูดคุยถึงความต้องการ ความคาดหวังและความรู้สึกที่แท้จริงของแต่ละฝ่าย

8.            ทักษะการคิดสร้างสรรค์
พยายามคิดในเชิงสร้างสรรค์ มองว่าทุกปัญหาความขัดแย้งทุกความขัดแย้งย่อมมีทางออก ช่วยกันมองหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ

ผลกระทบที่เกิดจากความขัดเเย้งในเรื่องเพศ

ผลกระทบที่เกิดจากความขัดเเย้งในเรื่องเพศ



      ความขัดเเย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในความสัมพันธ์ ถึงแม้จะเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้จนความขัดแย้งนั้นลุกลามใหญ่โต ก็อาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งการใช้ความรุนแรงต่อกัน และนำไปสู่ปัญหาอื่นๆได้ ดังต่อไปนี้
1.ปัญหาสุขภาพ


 ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งในรูปแบบความสัมพันธ์ใดก็ตาม หากปล่อยทิ้งไว้ไม่พยายามแก้ไข ก็จะสร้างบรรยากาศกดดันขึ้นในความสัมพันธ์นั้น เช่น ความขัดแย้งในที่ทำงานก็อาจนำไปสู่ภาวะเครียดในการทำงาน ทำให้ทำงานไม่บรรลุผลสำเร็จได้ และยังทำให้สุขภาพจิตของคู่กรณีเสียอีกด้วย ในขณะที่หากเป็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ระหว่างสามีภรรยาอาจทำให้บรรยากาศในบ้านตึงเครียด เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง จนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงระหว่างกัน เมื่อทะเลาะกันบ่อยๆ ก็จะทำให้สุขภาพจิตรของทั้งคู่เสีย ในขณะเดียวกันก็ทำให้คู่สามีภรรยาเกิดความเครียด และหากครอบครัวนั้นมีลูก เด็กที่ตกอยู่ในความขัดแย้งก็จะเกิดความเครียดและไม่มีความสุขตามไปด้วยทำให้มีปัญหาทางอารมณ์และจิตรใจ เมื่อจิตรของสมาชิกในครอบครัวเกิดความเครียดไปเรื่อยๆ ก็จะส่งผลต่อสุขภาพเช่นกัน คือ ส่งผลให้เป็นโรคนอนไม่หลับ โรคความดันเลือดสูง โรคไมเกรน เป็นต้น ในกรณีที่สมาชิกครอบครัวไม่สามารถหาทางออกได้อาจจะนำไปสู่ปัญหาทำร้ายตัวเองได้ หรือฆ่าตัวตาย
2. ปัญหาครอบครัว


 ความขัดแย้งระหว่างเพศ รวมไปถึงความขัดแย้งเรื่องเพศสัมพันธ์สามารถนำไปสู่ปัญหาครอบครัวและปัญหาการหย่าร้างได้เนื่องจากพื้นฐานของครอบครัวเกิดจากการอยู่ร่วมกันของคน ๒ คนก็คือผู้ชายและผู้หญิง ดังนั้นหากเกิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไข อาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง นอกจากนี้ประเด็นเรื่องเพศสัมพันธ์ยังเป็นประเด็นสำคัญของชีวิตคู่อีกด้วย หากคู่สามีภรรยาไม่สามารถมีทัศนคติที่ตรงกันเรื่องเพศสัมพันธ์ได้ก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งและทำให้เกิดความห่างเหินระหว่างคู่สามีภรรยา เมื่อบรรยากาศในครอบครัวไม่ดี และคู่สมรสไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกันและกันได้ บ้านจะกลายเป็นสถานที่น่าอึดอัดใจอาจส่งผลให้สมาชิกในครอบครัวหันไปหาความสุขที่อยู่นอกบ้านแทน และเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดความอดทน ก็จะนำไปสู่การหย่าร้าง และทำให้ครอบครัวอยู่ในสถานะบ้านแตก หากครอบครัวนั้นมีลูกย่อมส่งผลกระทบไปถึงลูกแน่นอน

 3.ปัญหาสังคม


 ความขัดแย้งในเรื่องเพศนั้นอาจไม่ได้ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมโดยตรงอย่างไรก็ตาม ปัญหาความขัดแย้งนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาครอบครัวได้ การทะเลาะเบาะแว้งและการหย่าร้าง นำไปสู่ปัญหาสังคมได้เช่นกัน เนื่องจากปัญหาครอบครัวขาดความอบอุ่นสมาชิกในครอบครัวได้รับผลกระทบจากปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนนอกจากนี้หากเกิดความขัดแย้งในเรื่องเพศที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการแก้ไข หรือแก้ไขอย่างผิดวิธี อาจก่อให้เกิดความรุนแรงตามมาได้ เช่นการบังคับขืนใจ ใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการจนนำไปสู่ปัญหาสังคมต่างๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาการกดขี่ทางเพศตรงข้าม เป็นต้น



           อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี หากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธีช่วยสร้างเสริมให้ความสัมพันธ์ให้แน่นแพ่นขึ้น เหมือนคำที่พูดว่า “ยิ่งทะเลาะก็จะยิ่งเข้าใจกัน” เนื่องจากความขัดแย้งจะทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างทางความคิด และเข้าใจผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น เสดแล้ว รับรู้ข้อดีและข้อเสีย ความชอบไม่ชอบของแต่ละคน เมื่อผ่านความขัดแย้งไปได้ก็จะทำให้สมาชิกยอมรับความแตกต่างได้มากข้น




ความขัดแย้งเรื่องเพศสัมพันธ์

ความขัดแย้งเรื่องเพศสัมพันธ์

ความขัดแย้งในเรื่องเพศสัมพันธ์  คือ  ความไม่ลงรอยกัน และความไม่เห็นพ้องต้องกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในเรื่องเพศสัมพันธ์ เช่น ฝ่ายชายมีความต้องการจะมีเพศสัมพันธ์ ในขณะที่ฝ่ายหญิงไม่ต้องการ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น การมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนี้ กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของความสัมพันธ์แบบสามีภรรยา


สาเหตุของความขัดแย้งเรื่องเพศสัมพันธ์
        ปัจจัยพื้นฐานส่วนใหญ่อาจคล้ายคลึงกับสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเพศ ดังที่ได้กล่าวไปเบื้องต้นแล้ว โดนเฉพาะความเชื่อ ค่านิยม และบรรทัดฐานทางศีลธรรมจรรยาของสังคมไทยที่ปลูกฝังให้เด็กเกี่ยวกับเรื่องเพศสัมพันธ์ เพราะเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับสังคมไทย เนื่องด้วยสังคมไทยมีการสั่งสอนและสร้างค่านิยมให้มองว่า เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่สกปรก บุคคลที่มีศีลธรรมย่อมไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกเพลิดเพลิน (อุมาพร ตรังคสมบัติ๒๕๔๕๒๓๒) โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกสั่งสอนให้รักนวลสงวนตัว ทำให้ผู้หญิงมักมีทัศนคติเชิงลบกับเรื่องเพศสัมพันธ์ มองว่าเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องที่ไม่ดี ผู้หญิงที่เสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานคือผู้หญิงไม่ดี แต่ในขณะเดียวกันผู้ชายส่วนใหญ่มองเรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะมีทัศนคติต่อเรื่องเพศสัมพันธ์แตกต่างกันจนนำไปสู่ความขัดแย้งได้

            นอกจากนี้ปัจจัยแวดล้อม เช่น กลุ่มเพื่อน สภาพสังคมที่ทำให้เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องสาธารณะมากยิ่งขึ้น ย่อมกระตุ้นให้เกิดทัศนคติที่แตกต่างกันระหว่างค่านิยมใหม่ที่มองว่าเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าทัศนคติของวัยรุ่นในปัจจุบันจะเปิดรับและมองเรื่องเพศสัมพันธ์อย่างเสรีมากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคมไทยที่ได้ปลูกฝังอยู่ในความเชื่อพื้นฐานของคนไทยโดนเฉพาะผู้หญิงยังคงมีอิทธิพลอยู่อย่างมาก และหากทั้งสองฝ่ายไม่เข้าใจความแตกต่างทางทัศนคติดังกล่าวก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกันได้




วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สาเหตุความขัดแย้งในเรื่องเพศ

ความขัดแย้งระหว่างเพศ

ความขัดแย้งระหว่างเพศ คือ ความไม่เห็นพ้องต้องกัน ควานไม่ลงรอยกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ และค่านิยมที่แตกต่างกัน อาจเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ทุกรุปแบบ เช่น เพื่อนร่วมงาน เจ้านายกับลูกน้อง เพื่อน คนรัก สามีภรรยา เป็นต้น เนื่องจากในสังคมทุกคนล้วนต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพศชายและหญิงซึ่งมีความแตกต่างทางกายภาพเป็นพื้นฐานย่อมถูกเลี้ยงดูและอยุ่บนความคาดหวังของสังคมที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ปกติที่จะเกิดความขัดแย้งขึ้น


สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างเพศ

ความขัดแย้งระหว่างเพศนั้นอาจเกิดจากหลากหลายปัจจัยด้วยกัน สรุปได้ดังนี้

1. ทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมที่สังคมปลูกฝัง        

กำหนดว่าผู้ชายเป็นอย่างไรและผู้หญิงเป็นอย่างไร เช่น ผู้หญิงชอบการแสดงความรู้สึก ผู้ชายชอบเก็บความรู้สึก ผู้ชายต้องเข้มแข็ง ผู้หญิงต้องอยุ่กับเหย้าเฝ้าเรือน ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า ผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง  เป็นต้น  ทัศนคติและค่านิยมต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดภาพแทนของผู้ชายและผู้หญิงที่ควรจะเป็น หากแต่ละฝ่ายแสดงออกหรือมีพฤติกรรมที่ผิดไปจากค่านิยมเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ เช่น ปัญหาระหว่างเจ้านายที่เป็นผู้หญิงกับลูกน้องที่เป็นผู้ชาย เนื่องจากค่านิยมของสังคมไทย ยังคงมีความคิดว่าผู้ชายต้องเก่งกว่าผู้หญิงอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงกว่า อาจทำให้ลูกน้องที่เป็นผู้ชายไม่พอใจ และกลายเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งต่อไปได้

2. ความต้องการที่แตกต่างกัน       
ด้วยพื้นฐานความคิดที่แตกต่างกัน ทำให้คนเรามีความต้องการที่แตกต่างไปด้วย ในความสัมพันธ์แบบคนรักหรือสามีภรรยา บางครั้งความต้องการที่แตกต่างกันในเรื่องเล็กน้อยก็อาจเป็นชนวนให้เกิดความขัดแย้งได้ เช่น สามีอาจต้องการให้ภรรยาอยู่บ้าน เลี้ยงลูก ตามแบบภรรยาในอุดมคติ แต่ภรรยาอาจต้องการออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว เป็นต้น

3. ความคาดหวังที่มีต่อเพศตรงข้าม           
เนื่องจากทัศนคติและค่านิยมของสังคมได้กำหนดภาพของผู้ชายและผู้หญิงที่ควรจะเป็นเอาไว้ ดังนั้นเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะร่วมงาน เป็นเพื่อนกัน ศึกษาคบหาดูใจกัน หรือใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ละฝ่ายย่อมมีความคาดหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นไปแบบที่ตนคิด เป็นไปในตามกรอบที่สังคมกำหนด เช่น ผู้ชายคาดหวังว่าผู้หญิงที่ดีควรจะเรียบร้อย ทำอาหารเป็น ในขณะผู้ชายที่ดีควรจะเอาใจใส่ผู้หญิง ช่วยถือของ แต่ในความเป็นจริงทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือหญิง ก็ไม่สามารถเป้นอย่างที่เราคาดหวังได้

4. การไม่เข้าใจความต้องการ และความแตกต่างของเพศตรงข้าม

 เนื่องจากทุกคนมีความแตกต่างกันทั้งความคิด อุปนิสัยใจคอ และพฤติกรรม หากเราไม่พยายามทำความเข้าใจความต้องการ ไม่พยายามสื่อออกมา หรือเข้าใจผิดก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้ เช่น วันครบรอบแต่งงานคู่รักหลายๆคู่ มักจะทะเลาะกันเนื่องจากผู้ชายจำวันครบรอบไม่ได้ทำให้ผู้หญิงเสียใจเพราะโดยธรรมชาติผู้ชายจะไม่ใส่ใจรายละเอียดเท่ากับผู้หญิง ดังนั้นการที่ต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจธรรมชาติของอีกฝ่ายย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งนี้ขึ้นได้ จะเห็นได้ว่าสาเหตุของความขัดแย้งนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้  แต่จะส่งผลกันเป็นทอดๆ จากค่านิยมที่สังคมปลูกฝังให้เกิดทัศนคติต่อเพศตรงข้าม


ลักษณะที่แตกต่างบางประการระหว่างชายและหญิง

1.  ขนาดและความแข็งแรงของร่างกาย โดยทั่วไปผู้ชายจะมีขนาดร่างกาย
โตกว่าส่วนสูงและน้ำหนักมากกว่า มีความแข็งแรงกว่าและทำงานหนักได้
มากกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงมักมีร่างกายบอบบาง มองดูนุ่มนิ่มกว่าผู้ชาย
เหมาะที่จะทำงานเบากว่า
 2.  รูปร่างหน้าตา โดยทั่วไปผู้ชายมักมีรูปร่างหน้าตาไม่สวยงามเหมือนผู้หญิง
มักมีรูปร่างหน้าตามองดูแข็งแรง คมสัน บึกบึน หล่อมากกว่าความสวยงาม
ส่วนผู้หญิงมีหน้าตาสวยงามผิวพรรณผุดผ่องเพราะมีไขมันอยู่ใต้ผิวหนัง
มากกว่าผู้ชายจึงมองดูว่าเกลี้ยงเกลา เนียนและสวย
3.  กิริยาท่าทาง โดยทั่วไปผู้ชายจะดูองอาจ ห้ามหาญ มักทำอะไรคล่องแคล่ว
ทะมัดทะแมงและชอบเสี่ยงภัย  ส่วนผู้หญิงจะมีกิริยาเรียบร้อย น่ารัก นุ่มนวล
อ่อนช้อย โดยเฉพาะลักษณะการเดินจะมีท่วงท่าและลีลาแตกต่างกว่าผู้ชาย
4.  การพูดจา โดยทั่วไปผู้ชายจะมีน้ำเสียงห้าวและดังกว่าผู้หญิง มองเห็น
ลูกกระเดือกที่ลำคอได้ชัด ส่วนผู้หญิงจะเสียงเบาเล็กแหลม เสียงหวาน
ฟังแล้วไพเราะกว่าผู้ชาย
5.  การแต่งกาย โดยทั่วไปผู้ชายจะรักสวยรักงามน้อยกว่าผู้หญิง ชอบแต่งกาย
ตามสบาย ส่วนผู้หญิงจะรักสวยรักงามชอบแต่งตัวและใช้เครื่องสำอาง ตลอด
จนใช้เครื่องประดับมากกว่าผู้ชายและเสื้อผ้าของผู้ชายและผู้หญิงก็จะมีลักษณะ
เฉพาะตนเองด้วย

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ค่านิยมเรื่องเพศ

ค่านิยมเรื่องเพศ
                
ค่านิยมทางเพศ (Sexual Value) หมายถึง หลักการพื้นฐานที่บุคคลยึดเป็นหลักในการปฏิบัติเพื่อดำเนินชีวิตซึ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศ โดยค่านิยมทางเพศของบุคคลเกิดจากการอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ในสถาบันครอบครัว ระบบการศึกษา ประสบการณ์ กระบวนการขัดเกลาและถ่ายทอดทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ
ในปัจจุบันค่านิยมทางเพศของวัยรุ่นได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก ส่งผลให้พฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงออกอย่างเปิดเผยในเรื่องเพศ โดยเฉพาะในวัยรุ่นหญิงหากมีค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ซึ่งเป็นเรื่องเสียหายที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม

ค่านิยมทางเพศตามสังคมและวัฒนธรรม
            วัฒนธรรมเป็นมรดกของสังคม เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นด้วยภูมิปัญญา เพื่อเป็นวิถีชีวิตของคนในสังคม เป็นกฎระเบียบหรือมาตรฐานของพฤติกรรมที่คนในสังคมยอมรับ โดยเป็นตัวกำหนด ขับเกลา สร้างสรรค์มนุษย์ให้มีชีวิตที่ดีงาม โดยวัฒนธรรมมีผลต่อค่านิยมทางเพศ ดังนี้
1)           ค่านิยมทางเพศตามสังคมและวัฒนธรรมไทย
1.1) บรรทัดฐานทางครอบครัวและสังคม ค่านิยมทางเพศตามสังคมและวัฒนธรรมไทย ในอดีตมีความแตกต่างจากในปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากในอดีตบุตรหลานจะถูกปลูกฝังโดยการอบรมเลี้ยงดูให้เคารพเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาอย่างเคร่งครัด วิถีชีวิตตลอดจนวิธีการดำเนินชีวิตจะต้องอยู่ในขอบเขตที่ทางครอบครัวได้วางเอาไว้ รวมทั้งปัจจัยทางสังคมและสภาพแวดล้อมก็ยังไม่เอื้ออำนวยอย่างเช่นปัจจุบัน ค่านิยมทางเพศในอดีตมีลักษณะดังนี้
ตัวอย่างค่านิยมทางเพศในอดีต
(1)      ผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเพียงอย่างเดียว
 จึงทำให้ผู้หญิงต้องถูกกดขี่ข่มเหงด้วยความไม่เสมอภาคทางเพศ
(2)      ผู้ชายมักเป็นใหญ่ในบ้าน
มีอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่าง ส่วนผู้หญิงมีหน้าที่เพียงแค่ดูแลบ้านและบุตรเท่านั้น
ภาพ แม่ที่กำลังดูแลบุตร
(3)      การนัดพบกัน ในอดีตสามารถพบกันได้โดยการแนะนำจากผู้ใหญ่
หรือพบกันตามวัดในเทศกาลต่างๆ ไม่มีโอกาสได้มาพบกันในสถานที่สาธารณะอย่างเช่นในปัจจุบัน
(4)      ผู้หญิงต้องไม่แสดงกิริยายั่วยวน
หรือแสดงท่าทีเชื้อเชิญ ให้โอกาสผู้ชายได้เข้ามาใกล้ชิด
ในภาพ เป็นการแต่งตัวที่ค่อยข้างเปิดเผยในปัจจุบัน
ซึ่งขัดกับค่านิยมในอดีต
(5)      การถูกควบคุมจากผู้ใหญ่ในเรื่องของการเลือกคนรัก
การแต่งงาน ที่เรียกว่า คลุมถุงชน  ให้เหตุผลถึงความคู่ควร เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าจะนึกถึงความรักของระหว่างบุคคล ทั้งนี้มักจะอ้างว่าใช้บรรทัดฐานทางครอบครัวและสังคมเป็นเครื่องตัดสินใจให้แต่งงานกัน ซึ่งอาจจะด้วยสมัครใจหรือถูกบังคับก็ตาม แต่ก็ต้องยินยอมพร้อมทั้งปลูกฝังค่านิยมของเพศหญิงให้มีความรักและซื่อสัตย์ต่อสามีเพียงคนเดียว
ตัวอย่างค่านิยมทางเพศในปัจจุบัน
ปัจจุบันสภาพครอบครัวและสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้หญิงต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเช่นเดียวกับผู้ชาย ส่วนภาระหน้าที่การดูแลบ้านและการเลี้ยงดูบุตรก็ยังคงเป็นหน้าที่ของผู้หญิงเช่นเดิม ทั้งนี้ ผู้หญิงสามารถได้รับการศึกษาในระดับสูงๆ ได้เช่นเดียวกับผู้ชาย ผู้หญิงมีสิทธิ์ที่จะสามารถแสดงความคิดเห็นและโต้แย้งในกรณีต่างๆ ได้ เนื่องจากได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกัน ทำให้มีโอกาสมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเพศ เช่น การเลือกฝ่ายชายที่จะมาเป็นคู่ครอง การขอหย่าถ้าแต่งงานไปแล้วไม่มีความสุข การเป็นผู้นำครอบครัว เป็นต้น
1.2) สภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก ในปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุ สถานบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ศูนย์การค้า ปัญหาสารเสพติด และความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้วัยรุ่นอาจใช้ชีวิตที่หลงผิด จนอาจก่อให้เกิดเป็นปัญหาอาชญากรรมทางสังคมได้ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ยากจน ไม่มีโอกาสศึกษาต่อ ต้องหาเลี้ยงชีพโดยไม่สุจริต เกิดความฟุ้งเฟ้อเพื่อต้องการให้ตนเองทัดเทียมกับผู้อื่น และในที่สุดก็เกิดค่านิยมทางเพศที่ผิดๆ เช่น การมีความคิดว่า การขายบริการทางเพศเป็นสิ่งที่หารายได้ให้แก่ตนเองได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น
1.3) สื่อเทคโนโลยี  ความก้าวหน้าและรวดเร็วของสื่อเทคโนโลยี อาจเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดค่านิยมทางเพศที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากวัยรุ่นสามารถติดต่อหรือคบเพื่อนต่างเพศที่ไม่เคยรู้จักกันได้ง่าย เพียงแต่โทรศัพท์หรือใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อในการติดต่อกัน หากใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือคุยกับบุคคลที่ไม่หวังดีด้วย อาจก่อให้เกิดปัญหาการถูกล่อลวงหรือปัญหาในทางไม่ดีอื่นๆ ตามมา

วัฒนธรรมไทยให้ความสำคัญในเรื่องความถูกต้องดีงามในเรื่องเพศ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมไทยยึดถือปฏิบัติ รวมทั้งการอบรมสั่งสอนถ่ายทอดความเชื่อและค่านิยมสืบต่อกันมาทางสถาบันครอบครัวโดยมีพ่อแม่เป็นผู้คอยสั่งสอน อบรมชี้แนะลูกให้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติในการดำรงชีวิต ดังสุภาษิตสอนหญิงของสุนทรภู่ที่ว่า
จงรักนวลสงวนงามห้ามใจไว้                 อย่าหลงใหลจงจำคำที่พร่ำสอน
คิดถึงหน้าบิดาและมาดร                                             อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี
เมื่อสุกงอมหอมหวนจึงควรหล่น                                อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่
อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี                             เมื่อบุญมีคงจะมาอย่าปรารมภ์
2)           ค่านิยมทางเพศตามสังคมและวัฒนธรรมตะวันตก
ปัจจุบันวัฒนธรรมตะวันตกได้เข้ามามีบทบาทและมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมทางสังคมของไทยมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องมากจากเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ก้าวหน้า รวดเร็ว ส่งผลทำให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมลอกเลียนแบบ และดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรมตะวันตก ซึ่งวัฒนธรรมบางอย่างก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมมากมาย โดยเฉพาะการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม
การเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกไม่ว่าจากสื่อโทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือ หรืออินเตอร์เน็ตก็ตาม ได้ทำให้ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงามของสังคมไทยเปลี่ยนไป ซึ่งวัฒนธรรมบางอย่างส่งผลดี เช่น การกล้าแสดงความคิดเห็น ความขยัน และความทุ่มเทให้กับงาน การมองโลกในแง่บวก การมีแนวคิดที่ดีต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่วัฒนธรรมบางอย่างกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย จากพฤติกรรมวัยรุ่น เช่น เสรีภาพในการคบเพื่อนต่างเพศ ซึ่งบางครั้งมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ การถูกเนื้อต้องตัวระหว่างชายกับหญิงมีมากขึ้น พฤติกรรมการแสดงออกทางเพศในที่สาธารณะ เช่น การโอบกอด การแต่งกายที่ล่อแหลม กิริยามารยาทที่ไม่เรียบร้อย การแสดงออกอย่างเปิดเผยในเรื่องเพศ หรือการที่วัยรุ่นหญิงบางคนตามจีบผู้ชาย เป็นต้น
อิทธิพลของวัฒนธรรมตะวันตกที่มีต่อพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นในสังคมไทย พอจะสรุปได้ดังนี้
(1) ปัญหาเรื่องเพศ เช่น การคบเพื่อนต่างเพศอย่างไม่เหมาะสม การออกเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนต่างเพศ การแต่งกายดึงดูดเพศตรงข้าม เปิดเผยให้เห็นของสงวนมากเกินไป การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เป็นต้น
      (2) ปัญหาสังคม เช่น การมั่วสุมกันในสถานเริงรมย์ การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร การทำแท้ง การใช้สารเสพติด เป็นต้น

การแก้ไขปัญหา
            ในเมื่อไม่อาจสกัดกั้นวัฒนธรรมต่างๆ ที่แพร่กระจายเข้ามาได้ จึงควรที่จะมีการเลือกและสร้างค่านิยมในเรื่องเพศที่เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย เช่น ลด ละ เลิก การเที่ยวสถานบริการทางเพศ ไม่สำส่อนทางเพศ ไม่คบเพื่อนต่างเพศโดยไม่เลือกหน้า ฝ่ายชายแสดงความเป็นสุภาพบุรุษให้เกียรติไม่ล่วงเกินสุภาพสตรี เป็นต้น